บทความสุขภาพ

การผ่าตัดลดน้ำหนักมีวิธีการอย่างไร

ปัจจุบัน การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักมีหลายวิธี แต่ที่ได้รับความนิยมและใช้กันอย่างแพร่หลายมีอยู่ 3 วิธีหลัก ได้แก่:

1. การผ่าตัดแบบสลีฟ (Sleeve Gastrectomy)

ผ่าตัดแบบส่องกล้อง โดยใช้ตัวตัดกระเพาะแบบ 3 ชั้นตัดเย็บกระเพาะให้มีขนาดเล็กลงเหลือ 15-20% จุดเด่นของวิธีนี้คือ

  • ลดฮอร์โมน Ghrelin ซึ่งเป็นฮอร์โมนกระตุ้นความอยากอาหาร ทำให้ รับประทานได้น้อยลง อิ่มเร็วขึ้น
  • ช่วยให้ ลดน้ำหนักส่วนเกินได้ประมาณ 60–70%

เป็นวิธีที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากให้ผลดี ค่อนข้างปลอดภัย และไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างลำไส้

2. การผ่าตัดแบบบายพาส (Roux-en-Y Gastric Bypass)

ผ่าตัดแบบส่องกล้อง ตัดปลายหลอดอาหารที่เชื่อมกับกระเพาะไปต่อกับลำไส้โดยตรง ทำให้

  • ปรับลดฮอร์โมนความอยากอาหาร(Ghrelin) ทำให้ทานได้น้อยลง และลดการดูดซึมอาหารร่วมด้วย
  • ทำให้ลดน้ำหนักได้มากขึ้นและรักษาโรคร่วมที่เกิดจากโรคอ้วนได้ดียิ่งขึ้น ลดน้ำหนักได้ดีโดยน้ำหนักส่วนเกิดลดลง 70-80%
3. การผ่าตัดแบบสลีฟพลัส (Sleeve Gastrectomy plus Proximal Jejunal Bypass)

เทคนิคนี้เป็นเทคนิคใหม่ล่าสุดและเป็นที่นิยมในต่างประเทศ โดยเป็นผ่าตัดแบบส่องกล้องตัดกระเพาะบางส่วนให้มีขนาดเล็กลงเหลือ 15-20% ปรับลดฮอร์โมนความอยากอาหาร(Ghrelin) ทำให้ทานได้น้อยลง ร่วมกับการทำทางเชื่อมลำไส้เล็กใหม่เพื่อลดการดูดซึมอาหารร่วมด้วย ทำให้ลดน้ำหนักได้มากขึ้นและรักษาโรคร่วมที่เกิดจากโรคอ้วนได้ดียิ่งขึ้น โดยพบภาวะแทรกซ้อนต่ำกว่าการทำผ่าตัดแบบบายพาสโดยผลในการลดน้ำหนักไม่ต่างกัน ลดน้ำหนักได้ดีโดยน้ำหนักส่วนเกิดลดลง 70-80%

เปรียบเทียบความแตกต่างของวิธีผ่าตัดลดน้ำหนักแต่ละแบบ
การผ่าตัดแบบสลีฟ การผ่าตัดแบบบายพาส การผ่าตัดแบบสลีฟพลัส
ค่าดัชนีมวลกายที่เหมาะสม
32.5 – 50 kg/m2
> 45 kg/m2 ขึ้นไป
> 45 kg/m2 ขึ้นไป
การฟื้นตัวหลังผ่าตัด
เร็ว
ปานกลาง
เร็ว
น้ำหนักที่ลดได้หลังผ่าตัด*
60-70%
70-80%
70-80%
โอกาสหายจากโรคเบาหวานและโรคร่วมอื่นๆ
สูง
สูงมาก
สูงมาก
กรณีมีภาวะกรดไหลย้อนรุนแรง
ไม่เหมาะสม
เหมาะสม
ไม่เหมาะสม
โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนระยะสั้น
+
++
+
โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนระยะยาว
+
++
+
ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักมีหรือไม่

จากข้อมูลล่าสุดในปี 2022 โดย สมาคมศัลยแพทย์โรคอ้วนแห่งสหรัฐอเมริกา (ASMBS) และ สมาคมนานาชาติด้านการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนและเมแทบอลิซึม (IFSO) ระบุว่า การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในระยะยาว เมื่อเทียบกับวิธีอื่น เช่น การใช้ยา หรือการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นยังคงมี ความเสี่ยงจากการผ่าตัดทั่วไป เช่น:

  • เลือดออกในช่องท้อง การรั่วของกระเพาะอาหาร
  • ลิ่มเลือดดำอุดตัน ซึ่งความเสี่ยงทั้งหมดในการผ่าตัดโดยศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญการผ่าตัดรักษาโรคอ้วน ต่ำมาก < 1%
ขนาดแผลหลังผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก

แผลบริเวณหน้าท้องหลังผ่าตัดเป็นแผลแบบส่องกล้องขนาดเล็ก 0.5-1.2 cm จำนวน 3 – 4 รู โดยแผลเย็บด้วยไหมละลายทั้งหมด และจะหายดีประมาณ 10-14 วัน หลังผ่าตัด

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดกระเพาะอาหาร

2 สัปดาห์ก่อนมาโรงพยาบาล

  • งดแอลกอฮอล์/บุหรี่ ทุกชนิด

1 วันก่อนมาโรงพยาบาล

  • รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เลี่ยงอาหารรสจัดและเผ็ด
  • หากต้องทานยาโรคประจำตัว สามารถทานได้ตามเวลาปกติ (ยกเว้น ยาละลายลิ่มเลือด งด 5-7 วัน)
  • ทำความสะอาดเล็บมือ-เล็บเท้า (ถอดหรือล้างสีเล็บที่นิ้มือ 1 นิ้ว นิ้วไหนก็ได้ แนะนำเป็นนิ้วชี้)
  • นอนพักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชม.
  • เลี่ยงงดยาคุม
โอกาสกลับมาอ้วนหลังผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักมีหรือไม่?

แม้ว่าการผ่าตัดกระเพาะอาหารจะเป็นวิธีที่ช่วยลดน้ำหนักได้มากและคงผลได้ในระยะยาวที่สุด แต่หากผู้ป่วย ไม่ดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมหลังผ่าตัด เช่น มีนิสัยรับประทานน้ำหวานหรือน้ำผลไม้เป็นประจำ ก็ยังมีโอกาสที่น้ำหนักจะกลับมาเพิ่มขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม โอกาสที่น้ำหนักจะกลับมาเท่าเดิมนั้นถือว่าต่ำมาก เพียงประมาณ น้อยกว่า 2.5%

สาเหตุที่ทำให้น้ำหนักกลับมาเพิ่มหลังผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก

แม้การผ่าตัดจะช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากผู้ป่วย ขาดการดูแลตนเองหลังผ่าตัด ก็มีความเสี่ยงที่น้ำหนักจะกลับมาเพิ่มขึ้นได้ โดยสาเหตุหลัก ได้แก่:

  • การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม เช่น ดื่มน้ำหวาน น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงเป็นประจำ
  • ไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เช่น กินจุบจิบ หรือกินในปริมาณมากเกินความจำเป็น
ระยะเวลาพักฟื้นหลังการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก

โดยทั่วไป การเข้ารับการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักต้อง นอนพักในโรงพยาบาลประมาณ 4–5 วัน โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  • วันที่ 1: เข้ารับการตรวจร่างกาย เตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัด โดยสามารถมาโรงพยาบาลช่วงเช้าหรือบ่ายตามสะดวก
  • วันที่ 2: เข้ารับการ ส่องกล้องทางเดินอาหาร และ ผ่าตัดผ่านกล้องแบบดมยาสลบ
  • วันที่ 3–5: พักฟื้นในโรงพยาบาล ทีมแพทย์และพยาบาลจะดูแลอาการใกล้ชิด หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ในช่วงเที่ยงของ วันที่ 4 หรือ 5 ได้ครับ
กระเพาะอาหารที่ผ่านการผ่าตัดจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตหรือไม่

หลังการผ่าตัด กระเพาะอาหารจะยังคง แข็งแรงและทำงานได้ตามปกติ แต่เนื่องจากขนาดของกระเพาะลดลง ผู้ป่วยจำเป็นต้อง ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เพื่อให้ร่างกายปรับตัวและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการผ่าตัด โดยมีคำแนะนำหลัก ได้แก่:

  • รับประทานอาหารที่ เน้นโปรตีนเป็นหลัก
  • เคี้ยวอาหารให้ละเอียด และ รับประทานช้า ๆ เพื่อป้องกันการอาเจียนหรือแน่นท้อง
  • หลีกเลี่ยงการ ดื่มน้ำก่อนและหลังอาหารอย่างน้อย 30 นาที เพื่อไม่ให้กระเพาะอาหารขยายเร็วเกินไป

การปรับพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ตามปกติและควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

การรับประทานอาหารหลังการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ควรทำอย่างไร และนานเท่าไร

หลังการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ผู้ป่วยควรปรับการรับประทานอาหารอย่างเป็นลำดับขั้น เพื่อให้ระบบย่อยอาหารปรับตัวได้อย่างปลอดภัย โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้:

ระยะที่ 1: วันที่ 1–2 หลังผ่าตัด

แนะนำรับประทาน ของเหลวใส ไม่ใส่น้ำตาล เช่น

  • น้ำเปล่า
  • น้ำสมุนไพร
  • ของเหลวใส ไม่ใส่น้ำตาล
ระยะที่ 2: วันที่ 2–3 หลังผ่าตัด

แนะนำรับประทาน ของเหลวข้นที่มีโปรตีนสูง เช่น

  • นมโปรตีนสูง หรือนมทางการแพทย์
  • กรีกโยเกิร์ต (ไม่หวาน)
  • น้ำเต้าหู้ไม่ใส่น้ำตาล
  • อาหารเหลวข้นโปรตีนสูง
ระยะที่ 3: วันที่ 3–14 หลังผ่าตัด

แนะนำเริ่มรับประทาน อาหารอ่อน ย่อยง่าย และกากน้อย เช่น

  • ไข่ตุ๋น
  • ปลานึ่งชิ้นเล็กๆ
  • ซุปผักใบเขียวต้มปลาแซลมอน
ระยะที่ 4: วันที่ 14–30 เป็นต้นไป

แนะนำรับประทาน อาหารโปรตีนสูงในรูปแบบปกติ (แต่ยังเน้นนุ่มและย่อยง่าย) เช่น

  • แกงจืดเต้าหู้หมูสับ
  • สเต็กปลา
  • สเต็กไก่
สามารถกลับมารับประทานอาหารแบบทั่วไปได้เมื่อไร?

โดยทั่วไป ผู้ป่วยสามารถเริ่ม รับประทานอาหารแบบปกติได้หลังจากผ่าตัดประมาณ 30 วันขึ้นไป แต่ยังต้องปฏิบัติตามแนวทางโภชนาการอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การลดน้ำหนักได้ผลดีในระยะยาว ดังนี้:

ควรทำ
  • เลือกอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อปลา อกไก่ ไข่
  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ วันละ 1.5–2 ลิตร เพื่อช่วยระบบเผาผลาญและความชุ่มชื้นของร่างกาย
ควรหลีกเลี่ยง
  • ข้าว แป้ง น้ำตาล น้ำหวาน และผลไม้รสหวานจัด
  • อาหารทอด อาหารมัน และของมันเยิ้ม
  • แอลกอฮอล์ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง

การควบคุมอาหารอย่างต่อเนื่องควบคู่กับการออกกำลังกาย และติดตามผลกับทีมแพทย์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ผลลัพธ์จากการผ่าตัดยั่งยืนและปลอดภัยครับ

ต้องกลับมาพบแพทย์กี่ครั้งหลังการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก?

หลังการผ่าตัด แพทย์จะนัดติดตามผลตามระยะเวลาเพื่อประเมินการฟื้นตัวและประสิทธิภาพของการลดน้ำหนัก โดยทั่วไปมีการนัดหมายดังนี้:

ครั้งที่ 1: 2 สัปดาห์หลังผ่าตัด
  • ดูแผลผ่าตัด
  • ให้คำแนะนำเพิ่มเติมเรื่องการรับประทานอาหารในระยะต่อไป
ครั้งที่ 2: 3 เดือนหลังผ่าตัด
  • ตรวจน้ำหนัก (เป้าหมาย: ควรลดได้ประมาณ 20% ของน้ำหนักส่วนเกิน)
  • ตรวจเลือดเพื่อประเมินสุขภาพ เช่น ค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c), ไขมันในเลือด
ครั้งที่ 3: 6 เดือนหลังผ่าตัด
  • ตรวจน้ำหนัก (เป้าหมาย: ควรลดได้ประมาณ 30% ของน้ำหนักส่วนเกิน)
  • ตรวจเลือดซ้ำเพื่อดูแนวโน้มสุขภาพโดยรวม
  • อัลตราซาวด์ช่องท้อง เพื่อเช็คภาวะไขมันพอกตับว่าหายดีหรือยัง
หากเคยผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักมาแล้ว สามารถผ่าตัดซ้ำได้หรือไม่?

สามารถ พิจารณาการผ่าตัดซ้ำได้ ในบางกรณี โดยเฉพาะหากผู้ป่วยมี ภาวะน้ำหนักเกินอย่างต่อเนื่อง หรือยังไม่สามารถควบคุมโรคร่วมที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น

  • ค่าดัชนีมวลกาย BMI > 30
  • ควบคุม โรคประจำตัวได้ไม่ดี เช่น เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, ไขมันพอกตับ, ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ฯลฯ

การพิจารณาผ่าตัดซ้ำต้องอยู่ภายใต้การประเมินอย่างรอบคอบโดยแพทย์เฉพาะทาง และทีมสหสาขาวิชาชีพ เพื่อเลือกเทคนิคที่เหมาะสม ปลอดภัย และมีโอกาสสำเร็จสูงสุด

สามารถผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักพร้อมกับผ่าตัดรักษานิ่วในถุงน้ำดีได้หรือไม่?

สามารถทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่มีความซับซ้อนมากกว่าปกติ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวมาก ซึ่งอาจมีภาวะ ไขมันพอกตับร่วมด้วย ทำให้การผ่าตัดถุงน้ำดีทำได้ยากขึ้น

  • ใช้เวลาในการผ่าตัดเพิ่มขึ้นประมาณ 1–2 ชั่วโมง
  • จำนวนแผลผ่าตัดไม่เพิ่ม จากการผ่าตัดกระเพาะอาหารแบบส่องกล้องทั่วไป

ทีมศัลยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินความเหมาะสมของการผ่าตัดร่วมในแต่ละราย เพื่อความปลอดภัยและผลการรักษาที่ดีที่สุด

นพ. เสฐียรพงษ์ จันทวิบูลย์
ศัลยแพทย์เฉพาะทาง ด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง