การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก มีเป้าหมายหลักเพื่อรักษาโรคร่วมที่เกิดจากโรคอ้วน เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันพอกตับ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โรคหัวใจ โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
ก่อนเข้ารับการผ่าตัด แพทย์จะให้ข้อมูลโดยละเอียด ตรวจร่างกายเพื่อประเมินความพร้อม และคัดกรองผู้ป่วยตามเกณฑ์ที่เหมาะสม โดยทั่วไปมักพิจารณาผู้ที่เคยลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ
- ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) > 27.5 kg/m2 ร่วมกับโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน และไม่สามารถควบคุมได้ด้วยวิธีอื่น
- ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) > 32.5 kg/m2 ร่วมกับโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน
- ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) > 37.5 kg/m2 ไม่จำเป็นต้องมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคอ้วน
- ต้องเป็นผู้ที่ ไม่มีข้อห้ามในการผ่าตัด และสามารถดูแลตนเองได้หลังผ่าตัด
ในปัจจุบัน แนวโน้มข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักทั่วโลกมีการปรับลดค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ที่ใช้ในการพิจารณาการผ่าตัดลง จากข้อมูลล่าสุดในปี 2022 โดยสมาคมศัลยแพทย์โรคอ้วนแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (American Society for Metabolic and Bariatric Surgery: ASMBS) ร่วมกับสมาคมนานาชาติเกี่ยวกับการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนและโรคทางเมแทบอลิซึม (International Federation for the Surgery of Obesity and Metabolic Disorders: IFSO) ดังนี้:
- ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) > 30 kg/m2 ร่วมกับโรคร่วมที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน
- ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) > 35 kg/m2 ไม่จำเป็นต้องมีโรคร่วม
โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่เป็นคนเอเชียที่ได้รับประโยชน์จากการผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักอาจจะมีค่าดัชนีมวลกาย(BMI) > 27.5 kg/m2
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ป่วยที่มีค่าดัชนีมวลกายค่อนข้างต่ำ ควรได้รับการพิจารณาวิธีการลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นที่เหมาะสมก่อน หากไม่ประสบความสำเร็จจึงค่อยพิจารณาการผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้าย
ช่วงอายุที่เหมาะสมในการเข้ารับการผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนักตามมาตรฐานเดิม คือระหว่าง 18 – 65 ปี ซึ่งถือเป็นกลุ่มอายุที่มีความปลอดภัยและตอบสนองต่อการรักษาได้ดี
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลล่าสุดในปี 2022 เป็นต้นมาตามข้อบ่งชี้ของ สมาคมศัลยแพทย์โรคอ้วนแห่งสหรัฐอเมริกา (ASMBS) และ สมาคมนานาชาติเกี่ยวกับการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนและโรคทางเมแทบอลิซึม (IFSO) พบว่า:
- การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักสามารถทำได้อย่าง ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในวัยรุ่นอายุระหว่าง 12 – 18 ปี รวมถึง
- ผู้สูงอายุช่วงอายุ 65 – 70 ปี หากได้รับการประเมินอย่างเหมาะสม
การพิจารณาทำผ่าตัดในกลุ่มอายุนอกเหนือจากเกณฑ์เดิม จำเป็นต้องผ่านการประเมินอย่างรอบด้านโดย ทีมสหสาขาวิชาชีพ ซึ่งจะพิจารณาจากภาวะสุขภาพโดยรวม ความพร้อมทางร่างกายและจิตใจ ตลอดจนความเหมาะสมของข้อบ่งชี้ในการรักษาเป็นรายบุคคล
ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน เช่น เบาหวาน หรือ ความดันโลหิตสูง สามารถเข้ารับการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังพบว่า การผ่าตัดสามารถช่วยให้ผู้ป่วย มีอาการดีขึ้นหรือในบางรายอาจหายขาดจากโรคดังกล่าวได้ โดยก่อนผ่าตัดแนะนำให้ทานยาควบคุมเบาหวานและความดันโลหิตสูงอย่างต่อเนื่องจนถึงวันผ่าตัดได้ครับ
คำตอบคือ จริง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมเบาหวานหรือความดันโลหิตสูงได้ดีด้วยการใช้ยาเพียงอย่างเดียว การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักถือเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการช่วย ควบคุมอาการของโรคได้ดีขึ้น และในบางรายอาจ หายขาดจากโรคเบาหวาน ได้โดยไม่ต้องใช้ยาอีกต่อไป โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอายุยังน้อย และเพิ่งเริ่มเป็นเบาหวานมาไม่นาน จะมีโอกาสหายขาดจากโรคได้สูงกว่ากลุ่มอื่น จากข้อมูลวิจัยทางการแพทย์ยังพบว่า หากการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนล่าช้าออกไปทุก 1 ปี หลังเริ่มเป็นเบาหวาน โอกาสในการหายจากเบาหวานจะลดลงประมาณ 7%
แม้การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคอ้วนและโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้อง แต่ก็มี ข้อจำกัดและข้อห้าม ที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ไม่มีความแข็งแรงพอที่จะได้รับการผ่าตัด